ข้อดีของเหล็กที่ผ่านการชุบกัลวาไนซ์

วัสดุเหล็กที่ใช้ในการประกอบการก่อสร้างอาคารหรือบ้านเรือนนั้น ไม่สามารถจะนำวัสดุเหล็กเปล่ามาใช้ก่อสร้างได้เลยเนื่องจากเหล็กนั้นเป็นวัสดุที่ไวต่อความชื้น และอาจเกิดสนิมจนทำให้อาคารไม่แข็งแรงได้เมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เหล็กสำหรับก่อสร้างจึงจำเป็นต้องได้รับการเคลือบสาร เพื่อเพิ่มความทนทานและอายุการใช้งานให้ยาวนานยิ่งขึ้นด้วย เช่น การเคลือบกัลวาไนซ์ สังกะสีที่ออกแบบมาเพื่อการเคลือบผิวเหล็กโดยเฉพาะที่ป้องกันสนิมได้อย่างมีประสิทธิภาพและยังได้รับความนิยมสูง


กระบวนการชุบสังกะสี
เหล็กชุบกัลวาไนซ์ (Galvanized steel) คือการนำเหล็กกล้าหรือเหล็กในแต่ละเกรดไปเคลือบด้วยสารสังกะสี ซึ่งจะนำเหล็กไปแช่ไว้ในอ่างสังกะสี หลอมเหลวความร้อนสูงที่อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 449 ° C โดยเมื่อชุบสังกะสีเสร็จแล้วจึงนำมาสัมผัสกับบรรยากาศ ซึ่งสังกะสีบริสุทธิ์ (Zn) จะทำปฏิกิริยากับออกซิเจน (O2) ในรูปแบบสังกะสีออกไซด์ (ZnO) รวมถึงจะทำปฏิกิริยากับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในรูปแบบสังกะสีคาร์บอเนต (ZnCO3) ส่งผลทำให้เนื้อเหล็กเกิดการเปลี่ยนสีกลายเป็นสีเทา เราจึงมักเห็นเหล็กส่วนใหญ่ที่ใช้ในการก่อสร้างว่าทำไมถึงมีสีเทานั่นเอง


ประโยชน์ของการชุบกัลวาไนซ์
แน่นอนว่าข้อดีของการชุบกัลวาไนซ์นั้น จะช่วยให้เหล็กไม่เกิดสนิมได้ง่ายหรือเกิดผุกร่อนก่อนถึงเวลาอันควร ป้องกันการเสื่อมสภาพจากการโดนของเหลว หรือเกิดความชื้นกัดกร่อน 
มีอายุการใช้งานยาวนานกว่าการเคลือบผิวชนิดอื่น ๆ รวมถึงยังใช้ต้นทุนไม่แพงอีกด้วย สำหรับกรรมวิธีการเคลือบกัลวาไนซ์นั้น มีด้วยกันหลายรูปแบบ เช่น การพ่นเคลือบด้วยเปลวความร้อน,การเคลือบด้วยวิธีทางกล, การทาด้วยสีฝุ่นลงบนสังกะสี, การเคลือบด้วยเทคนิคเชอร์ราไดซ์ซิ่ง, การชุบเคลือบสังกะสีแบบจุ่มร้อนด้วยกระบวนการต่อเนื่อง, วิธีการชุบสังกะสีแบบจุ่มร้อน หรือ การเคลือบสังกะสีด้วยไฟฟ้า ซึ่งวิธีการเคลือบสังกะสีด้วยไฟฟ้านั้น เป็นกระบวนที่ใช้ค่าใช้จ่ายสูงที่สุดในบรรดากรรมวิธีทั้งหมด

โดยวิธีนี้จะเป็นการทำให้เหล็กมีศักย์ไฟฟ้าสูงกว่าบริเวณโดยรอบ ซึ่งจะทำให้มวลเหล็กไม่สูญเสียอิเลกตรอนในตัว เมื่อกระทบกับสภาพอากาศ และไม่เกิดสนิมขึ้น 


ส่วนใหญ่นิยมนำไปใช้ในกระบวนการผลิต ท่อเดินน้ำมันในทะเล ซึ่งต้องเจอกับความชื้นตลอด 24 ชั่วโมง อย่างไรก็ตามแม้วิธีการนี้จะดูอันตราย แต่กระบวนการสร้างสามารถทำได้ในทุกสภาวะแวดล้อมเลยทีเดียว
และควรจะต้องทำภายใต้การดำเนินการจากผู้ผลิตที่ได้รับการรับรองมาตรฐานรวมถึงมีอุปกรณ์เครื่องมือที่ปลอดภัยและทันสมัย ซึ่งมีการพัฒนาประสิทธิภาพโรงงานยิ่งขึ้นในแต่ละยุคสมัย อันจะทำให้เนื้องานที่ได้มีประสิทธิภาพและทนทานมากยิ่งขึ้น